วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา




วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา
ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 – 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 08.30 – 16.30 น.
ณ ทางเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง

ร่วมเฉลิมฉลองใน 3 โอกาสมหามงคล จัดยิ่งใหญ่ในพระบรมมหาราชวัง ร้อยเรียงประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างเมือง และเรื่องราวเกี่ยวกับในหลวงกับความรักความผูกพันที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง พร้อมด้วยนายรัตนาวุธ วัชโรทัย ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สำนักพระราชวัง นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) และ ผศ. ปนัดดา ธนสถิตย์ กรรมการอำนวยการ บริษัท กันตนา ออร์กาไนเซอร์ แอนด์ เมเนจเมนท์ จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวการจัดการแสดง แสง เสียง และสื่อผสม “วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๘๔ พรรษา มหาราชา” ที่บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าศาลา สหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 – 28 กุมภาพันธ์ 2554 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองและเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่ปี พ.ศ. 2554 จะเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม และทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติเช่นเดียวกับพระบูรพกษัตริย์ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์
สำนักพระราชวังจึงเตรียมจัดกิจกรรม พิเศษในครั้งนี้ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบูรพกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2544 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 28 กรกฎาคม 2544 ด้วย จึงเป็น 3 โอกาสสำคัญที่จะจัดการแสดงชุดพิเศษนี้อย่างยิ่งใหญ่ และการแสดงครั้งนี้สืบเนื่องจากการที่สำนักพระราชวังได้จัดการแสดงเฉลิมพระ เกียรติ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปลายปี พ.ศ. 2541 ในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา ต่อมาในปี 2542 ได้จัดการแสดงสัญจรใน 8 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ เพราะ “คนไทยรักในหลวง”
การแสดงแสง เสียง และสื่อผสมในครั้งนี้ ใช้เทคนิคในการนำเสนอที่ทันสมัยหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่นในแต่ละสมัยอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ประกอบสื่อผสมหรือมัลติมีเดียอย่างสมจริง ซึ่งจะสร้างความประทับใจแก่ผู้ชม ตลอด 90 นาทีของการแสดงที่แบ่งออกเป็น 9 องก์ ได้แก่ ก่อร่างสร้างเมือง, รุ่งเรืองรัตนโกสินทร์, ถิ่นสยามอารยะ, ประชาธิปไตยสร้างสรรค์, ในหลวงที่คนไทยใจผูกพัน, ทั่วเขตขัณฑ์ รอยพระบาท ทรงยาตรา, อัครศิลปิน, หลักไทย หลักใจ, และ ดุจถวายชัย ชโย โดยมีผู้ดำเนินเรื่องคือ “จิตตสยาม” – จิตวิญญาณที่เป็นตัวแทนของคนไทยที่รักชาติ มีความผูกพันกับพระเจ้าแผ่นดินและอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่สำคัญๆ ในแต่ละยุคสมัย แสดงโดย จอย – รินลณี ศรีเพ็ญ วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษามหาราชา บริหารโครงการโดย บริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท กันตนา ออร์กาไนเซอร์ แอนด์ เมเนจเมนท์ จำกัด บริหารการ ผลิตโดย บริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) เริ่มแสดงตั้งแต่วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 19.00 – 20.30 น. โดยงดการแสดงทุกวันจันทร์ ยกเว้นวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 และงดการแสดงในวันที่ 27 ธันวาคม 2553 – 3 มกราคม 2554 รวมจัดการแสดงทั้งสิ้น 58 รอบ บัตรราคา 500 บาท ทุกที่นั่ง เริ่มจำหน่ายบัตรตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม ศกนี้ ที่ห้องประชาสัมพันธ์ ทางเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

ข่าวด่วน นาซ่าเผยดาวยักจะชนโลก

สำนักข่าวต่างประเทศ (6 พ.ค.) อ้างได้รับการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากองค์การนาซ่า โดยรายงานระบุว่าผู้เชี่ยวชาญของนาซ่าได้มีการทำนายว่า ดาวเคราะห์ขนาดมหึมา มีขนาดความกว้าง 1,300 ฟุต หนัก 55 ล้านตัน กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้และอาจพุ่งชนโลกได้ราวเดือนพฤจิกายน ปลายปีนี้

ทั้งนี้ ยังรายงานยังบอกอีกว่า ถ้าหากไม่ชนโลกอาจจะแค่เฉียดแบบระยะเผาขนด้วยระยะห่างเพียง 201,700 ไมล์ นับว่าเป็นการเคลื่อนเ้ข้ามาใกล้กว่าดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ที่ห่างราว 238,857-248,725 ไมล์

ดาวเคราะห์ดวงดังกล่าว มีชื่อว่า YU55 โคจรรอบดวงอาทิตย์ทุก ๆ 14 เดือน สามารถมองเห็นเป็นขนาดเล็กด้วยกล้องดูดาวเทเลสโคป และถ้าเป็นอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญของนาซ่าได้กล่าวไว้ประมาณวันที่ 8 พ.ย.54 ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจสร้างความหายนะครั้งร้ายแรงไ้ด้หากพุ่งชนโลก ตามคำทำนาย เพราะระดับความรุนแรงนั้นจะเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณู 65,000 ลูก แรงปะทะอาจส่งผลให้เกิดหลุมลึก 2,000 ฟุต กว้าง 6 ไมล์

อาหาร 2 ชนิดที่ไม่ควรกินร่วมกัน

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน บางอย่างมีประโยชน์ บางอย่างไม่มีประโยชน์ แต่คุณ ทราบหรือไม่ว่า อาหารบางอย่างที่เราทานเข้าไปทุกวันๆ เราคิดว่ามีประโยนช์มากมายนั้น บางอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด มาดูดีกว่าว่ามีอาหารชนิดไหนบ้าง
1. เหล้าขาวกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นพิษ
2. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะเป็นโรคผิวหนัง
3. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง - ห้ามรับประทานด้วยกันจะทำให้หูหนวก
4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า
5. กล้วยกับเผือก - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้ท้องอืด
6. ถั่วลิสงกับฟักทอง - ห้ ามรับประทานรวมกัน จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ
7. มันเทศกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
8. มันฝรั่งกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ
9. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก
10. น้ำเต้าหู้ นมสด - ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตับ
11. ผักป๋วยเล้ง - ห้ามรับประทานกับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง
12. กล้วยมะละกอ แตงโม - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน
13. ส้มกับมะนาว - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ
14. เหล้าขาวกับเบียร์ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
15. ปลาทุกชนิด - ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง
16. ขิงดอง - ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรค มะเร็ง
17. น้ำเต้าหู้ - ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน
18. น้ำข้าว - ห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน
19. น้ำผึ้ง - ห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน
20. บวบ ซือกวย ไชเท้า - ห้ามรับประทานวันเดียวกัน จะทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้เชื้อ อสุจิอ่อนไม่แข็งแรง
21. มังคุดกับน้ำตาล- กินร่วนกันจะทำให้เสียชีวิต
">

หมอฟัน…ทำไมต้องไปหา?


 สุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา  นอกจากสุขภาพของร่างกายและจิตใจแล้ว  สุขภาพของฟันก็
เป็นสิ่งที่เราละเลยไม่ได้  หากสุขภาพของฟันเสื่อมลง  นอกจากจะทำให้สุขภาพในการทำงาน
ของเราน้อยลง  ยังอาจส่งผลเสียถึงบุคลิกภาพ  และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงอีกด้วย  ฉะนั้นเรา
จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ด้วยการหมั่นดูแลรักษาสุขภาพฟันด้วยตนเอง  และหมั่นพบ
ทันตแพทย์เป็นประจำ

ดูแลสุขภาพด้วยตัวคุณเอง

การทำความสะอาดฟัน
1. แปรงฟันให้สะอาดและถูกวิธี  ร่วมกับการใช้เส้นใยขัดฟัน  อย่างน้อยวันละ  2-3 ครั้ง
2. ควรใช้แปรงชนิดขนแปรงนุ่ม (Soft) ปลายมน   หน้าตัดเรียบ  และควรเปลี่ยนแปลงสีฟันทุก
3-6 เดือน  หรือเมื่อแปรงสีฟันเริ่มเปลี่ยนรูป
3. ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ผสมเพื่อป้องกันฟันผุ
4. ตรวจดูฟัน  เหงือก  และอวัยวะในช่องปากด้วยตนเอง

อาหาร
     1. ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนในปริมาณที่พอเหมาะ  เพื่อสุขภาพของร่างกาย
รวมทั้งสุขภาพของเหงือกและฟัน  โดยเน้นอาหารจำพวกผัก  ผลไม้  ถั่ว  และเครื่องดื่มที่มีปริมาณ
น้ำตาลน้อย
     2. ไม่ควรรับประทานอกหารประเภทหวานจัด  อาหารที่มักติดตามซอกฟัน  และอาหารที่ต้องอม
อยู่ในปากนานๆ เช่น  ลูกกวาด  ขนมอบกรอบ  คุกกี้  เนื่องจากจะทำให้มีโอกาสเกิดฟันผุสูงขึ้น

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
     1. การเคี้ยวอาหารข้างเดียวเป็นประจำ  จะส่งผลให้ข้างที่ไม่ได้ใช้งานเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบ
ได้ง่าย  และยังอาจทำให้ใบหน้าสองข้างมีขนาดไม่เท่ากัน
     2. การรับประทานอาหารแข็ง  จะทำให้ฟันสึก  ฟันร้าว  และปวดเมื่อยบริเวณขากรรไกร
     3. การกัดปากกาและดินสอ  จะทำให้ฟันสึกเป็นร่องตามลักษณะวัสดุที่กัด  และอาจทำให้ตำแหน่ง
ของฟันผิดไปจากที่ควรเป็น
     4. การใช้ไม้จิ้มฟันทำความสะอาดซอกฟัน  จะส่งผลให้ฟันห่าง  เศษอาหารอัดติดซอกฟันทำให้
เหงือกอักเสบได้
     5. การนอนกัดฟัน  จะทำให้ฟันสึกและปวดเมื่อยบริเวณข้อต่อขากรรไกร
     6. การดูดนิ้ว  จะทำให้ฟันหน้าบนยื่น  ฟันหน้าล่างหุบเข้า  และการสบฟันผิดปกติ

ทันตแพทย์ช่วยท่านได้อย่างไรในการดูแลสุขภาพฟัน
     
ท่านควรพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน – 1ปี  ในการพบเพื่อตรวจสุขภาพฟันและอวัยวะ
ภายในช่องปาก  ทันตแพทย์จะตรวจดูช่องปากด้วยตาเปล่า  และอาจใช้การเอกซเรย์แบบด้านประชิดฟัน
( Bite  Wing )  แบบรอบปลายรากฟัน ( Periapical )  หรือแบบถ่ายภาพรอบศรีษะ ( Panoramic  Radiography )
ช่วยวินิจฉันในส่วนที่มองไม่เห็นเพื่อให้การตรวจละเอียดยิ่งขึ้น  เมื่อทราบสภาพของฟันและช่องปาก
หากต้องได้รับการรักษา  ทันตแพทย์จะอธิบายและแนะนำแนวทางการรักษาที่ท่านสามารถเลือกได้
พร้อมทั้งวางแผนการรักษาให้แก่ท่านหลังจากที่ท่านเลือกแนวทางที่ท่านต้องการแล้ว  การหมั่นมาพบ
ทันตแพทย์เป็นประจำ  จะช่วยให้ทันตแพทย์สามาตถพบและทำการรักษาโรคทางช่องปากของท่านได้
ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก  การปล่อยให้โรคลุกลามจะทำให้ทางเลือกในการรักษาน้อยลง  การรักษาเป็นไปได้ยาก
และเกิดค่าใช้จ่ายสูงตามมา

การถ่ายภาพรังสีรอบศรีษะ  (Panoramic  Radiography )     เป็นการถ่ายภาพรังสีบริเวณกว้างเพื่อให้ได้ภาพของขากรรไกรบนและล่างติดต่อกันโดยตลอดบนฟิล์ม
เดียวโดยไม่มีอวัยวอื่นมาบดบัง  ภาพที่ได้จะช่วยให้เห็นฟันคุด  ฟันเกินที่ไม่ปรากฏในช่องปาก  พยาธิสภาพ
หรือรอยโรค  เช่น  ฟันผุจนมีเงาดำที่ปลายราก  กระดูกรอบฟันถูกทำลาย  ถุงน้ำ  (Cyst )  เนื้องอก  มะเร็ง
ภาพบริเวณกว้างนี้จะช่วยให้เห็นขอบเขตของรอยโรคว่าสิ้นสุดที่บริเวณใดของขากรรไกร  จากภาพทันตแพทย์
ยังอาจพบรอยโรคที่บริเวณอื่นที่ไม่คาดคิดอีกด้วย  นอกจากนั้น  ภาพจะช่วยในการตรวจการพัฒนาการของ
ความผิดปกติต่างๆ ตรวจการพัฒนาการของฟันและกระดูก  โดยเฉพระในระยะที่ฟันน้ำนมและฟันแท้กำลังขึ้น
และภาพนี้สามารถใช้ช่วยในการตรวจฟันของผู้ที่ไม่สามารถอ้าปากได้

การดูแลสุขภาพฟันในหญิงตั้งครรภ์
     หญิงตั้งครรภ์  จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  มีผลทำให้เกิดการอักเสบของเหงือกได้สูงกว่าคนทั่วไป
และผลจากความต้องการแคลเซียมที่สูงขึ้นของมารดาทำให้มีการดึงเอาแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน
ผลทำให้ฟันผุง่ายขึ้น  ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ควรจะได้พบทันตแพทย์ในช่วงระยะตั้งครรภ์  3-6 เดือน
เพื่อรับการทำความสะอาดเหงือกและฟัน  ด้วยการขูดหินปูนและกำจัดคราบต่างๆ  พร้อมทั้งตรวจสุขภาพฟัน
ถ้ามีฟันผุการอุดเพื่อบูรณะฟันใหม่จะช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นได้  นอกจากนี้  การบริโภคอาหารที่ที
แคลเซียมสูงจะช่วยให้ฟันน้ำนมของลูกชึ่งสร้างตั้งแต่อายุครรภ์  5  เดือนแข็งแรงขึ้น

คำพูดธรรมดา..ที่ฟังแล้วรู้สึกดี



          เหนื่อยไหม...กินข้าวหรือยัง...วันนี้เป็นไงบ้าง...มีอะไรจะเล่าให้ฟังไหม...ไม่เป็นไรนะ...ผมเชื่อว่าคุณทำได้...และอีกมากมายหลากหลายถ้อยคำที่แสนจะธรรมดา แต่หากพูดในภาวะอารมณ์ที่คนฟังกำลังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยสุด ท้อถอย และต้องการกำลังใจเป็นอย่างมาก มันกลับเป็นคำพูดวิเศษ เป็นพลังมหัศจรรย์ที่ทำให้เขาหรือเธออมยิ้มได้ในพริบตา ^^

          ใครจะไปคาดคิดสำหรับความรัก "เพียงคำพูดแค่้ไม่กี่คำ" สามารถสร้างกำลังใจ แรงใจ ให้ใครอีกคนหนึ่งได้อย่างน่าประหลาด ซึ่งจริง ๆ แล้วการแสดงออกถึงคำพูด ในบางครั้งมันอาจจะดูธรรมด๊า...ธรรมดา แต่ทำให้คนฟังยิ้มได้อย่างสุขใจ ทั้ง ๆ ที่เขาหรือเธอจะตั้งใจพูดหรือพูดออกไปด้วยความเคยชินก็ตาม

          อาจเพราะมันเหมือนเป็นการเอาใจใส่ การดูแลความรู้สึกซึ่งกันและกัน ที่สำคัญคือไม่ว่าจะคำไหน ๆ มันคงจะดีหมด หากมันออกมาจากปากคนที่เรารัก หรือจากคนที่เราคาดหวังอยากจะได้ยิน (จริงไหม)

          เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเขินอายที่จะถามไถ่ถึงความเป็นไปของคนรัก ในเมื่อคิดที่จะรัก ก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตของกันและกันไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันหากคุณเอ่ยคำพูดบางคำออกไปโดยไม่คิด มันอาจย้อนไปทำร้ายความรู้สึกคนฟังแบบที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้ ทางที่ดีอย่าสักแต่คิดจะพูดแต่ก็พูดอย่างไม่คิด เพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากปากไปแล้ว มันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้

          เอ...แล้วเพื่อน ๆ เคยเจอคำถามแบบไหนบ้าง ที่ฟังแล้วรู้สึกว่าหัวใจพองโต ยิ้มหน้าบานกว่าเคย หรือเหี่ยวเฉา ซึมเศร้ากว่าเดิม ลองมาแชร์ประสบการณ์เลิฟ ๆ กันบ้างนะคัฟ
ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม